ถ้าไม่นับเรื่องงานในวงการบันเทิง แน่นอนว่าหลายคนคงรู้จักและจำภาพผู้ชายที่ชื่อ ‘บิณฑ์-ไทด์ บรรลือฤทธิ์’ ในฐานะบุคคลที่ช่วยเหลือสังคม

อย่างแท้จริง ผู้ซึ่งทำงานเป็นอาสาสมัคร ที่รวมแล้วเจ้าตัวทำงานช่วยเหลือสังคมมายาวนาน ซึ่งตลอด 30 กว่าปี ของการทำงานเป็นอาสาสมัคร

มูลนิธิร่วมกตัญญู ต้องบอกเลยไม่ว่าจะเป็นคนธรรมดา หรือว่าเพื่อนพ้องในวงการบันเทิงที่เดือดร้อน ตกทุกข์ได้ยาก เจ้าตัวก็พร้อมยื่นมือเข้าไป

ช่วยเหลืออย่างเต็มที่ ยอมอดหลับ อดนอนทุ่มเทแรงกายแรงใจเพื่อประชาชนจริงๆ โดยปัจจุบัน ‘บิณฑ์ บรรลือฤทธิ์’ ครองตัวเป็นโสด ไม่ได้คิดถึง

อนาคตที่จะมีคนรักหรือสิ่งใด แต่ไม่วายถูกมองเรื่องจำนวนตัวเลขบริจาค ที่ประชาชนช่วยกันเป็นสื่อกลางให้ ‘บิณฑ์’ โดยครั้งหนึ่ง ‘บิณฑ์ บรรลือฤทธิ์’

ได้เปิดใจผ่านสื่อถึงชีวิตการทำงานช่วยเหลือสังคมไว้ว่า “ก็ไม่ได้ถึงกับ 7 วันนะครับ ที่เราทำงานมาทั้งหมดก็ 33 ปี” เรียกว่าทิ้งวงการไปไหม

เพราะภาพส่วนใหญ่ที่เห็นจะอยู่กับการช่วยเหลือ “ไปๆ มาๆ ครับ ถ้าช่วงไหนเรารู้สึกว่าเราอยากทำให้เกิดประโยชน์ต่อสังคมกับประเทศชาติ

ทำแล้วอยากจะแบ่งปันความสุขให้กับคนอื่นบ้าง เราก็ทำงานในวงการบันเทิงบ้างทำหนังบ้าง เล่นละครบ้าง ทำให้รู้สึกว่าเราไม่ได้ทิ้งวงการนะ

เราเกิดมาจากวงการบันเทิง” แล้วมีคู่จิ้นไหม ‘พี่บุ๋ม ปนันดา’ “ไม่มีครับ ไม่ใช่พี่บุ๋ม คือ เรามีใจตรงกันในการทำจิตอาสาเจอกันก็กอดกัน

เขาบอกเราว่าพี่มีใจขนาดนี้ทุ่มเทให้กับตรงนี้เต็มที่มาๆนับถือใจเรา แล้วคือ อยากจะบอกว่าผมกับ บุ๋ม คือไม่มีอะไรเลย ไม่ได้คิดอะไรเลย

แต่เวลาเราเจอเราสนิทกับเราก็ทักทายกันถ่ายรูปลงคู่กันทุกคนก็จะแซวเราแต่จริงๆไม่มีอะไรครับ” โดยครั้งหนึ่ง ‘บิณฑ์ บรรลือฤทธิ์’ ได้ร่วม

เป็นกระบอกเสียงช่วยเหลือชาวบ้านในจังหวัดอุบลราชธานี หวังช่วยเหลือผู้ที่ได้รับความเดือดร้อน โดยในครั้งนั้นระบุตัวเลข 426 ล. ไม่วายโดนครหา

หากินกับตังค์บริจาค โดย ‘บิณฑ์ บรรลือฤทธิ์’ เผยว่า “ผมว่าในโลกมนุษย์มันก็มีคนพวกนี้อยู่แล้ว ดีแค่ไหนก็ต้องมีคนแบบนี้ อิจฉาตาร้อนธรรมดา

ผมไม่เอาเรื่องพวกนี้มาทำให้ความคิดดี ๆ ของเราบั่นทอนจิตใจเรา ที่ให้ต่อหน้าเป็นตังค์ส่วนตัวผมเอง เราไม่เอาอยู่แล้ว เราทำเราก็ไม่สบายใจ เราโกหกก็ละอายใจ

จำนวนตัวเลข-ทุน ในกองผมไม่เคยเก็บไว้ใช้สักปกงเดียว จะมีแต่ละวันที่เจ้าหน้าที่เอาออกไป ผมไม่เคยยุ่งเลย ไม่เคยเอาส่วนกองกลางมาไว้ที่ผมแม้แต่แดงเดียว ไม่รู้จะเอามาทำไม”