
Uncategorized
บ้านไฮโซ โซเฟีย ลา
หลายคนคงคุ้นหน้าคุ้นตากันดี สำหรับ ไฮโซสาวชื่อดัง ‘โซเฟีย ลา’ เธอไม่ใช่คนไทยแท้ๆ แต่มีบ้านเกิดอยู่ที่ไต้หวัน โดยทางด้านชีวิตหลังจาก

ตัดสินใจตามสามีมาปักหลักสร้างตัวอยู่ที่เมืองไทย ก็ทำให้เกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิดที่ทำให้ครอบครัวต้องแยกทางกันในที่สุด ซึี่งในปัจจุบัน ‘โซเฟีย ลา’

อยู่ที่ประเทศไทยมานานกว่า 35 ปี แล้ว และอาศัยอยู่บ้านหรูในย่านถนนสาธุประดิษฐ์ ซอย 49 โดย โซเฟีย ลา เผยให้ว่า… “บ้านหลังนี้อยู่มานาน

เป็น 30 กว่าปีแล้ว ตั้งแต่แยกทางกับสามีก็ไม่เคยเปิดบ้านให้รายการไหนมาถ่ายเลย เราคิดว่าอยู่คนเดียวก็ไม่รู้จะเปิดให้ใครดูไปทำไม บ้านหลังนี้

สมัยก่อนสามีเขาซื้อไว้ 3 ไร่ เราก็ทำทาวน์เฮ้าท์ด้วยส่วนหนึ่ง ที่เหลือก็สร้างบ้านเรา ถามว่ามีการเสริมฮวงจุ้ยมั้ย คือเราอยู่คนเดียวใครบอกว่าตั้งอะไรดี

มีอะไรแล้วรวยเราก็ซื้อมาหมดเลย ซึ่งเราก็อยู่เมืองไทยมา 32 ปีแล้ว การตกแต่งบ้านก็สไตล์จีน เฟอร์นิเจอร์ก็แบบจีนทั้งหมด สำหรับภาพวาดสีน้ำมัน

ที่เห็นอยู่ คือเราวาดเองทั้งหมด เมื่อก่อนลูกไปเรียนหนังสือเราก็เหงาก็เลยไปเรียนวาดภาพ จนสุดท้ายกลายมาเป็นความชอบ และของสะสมของโซเฟีย

ก็คือนาฬิกามันเป็นคุณค่าทางจิตใจ บางเรือนเก็บมา 20-30 ปีแล้ว” อีกทั้งครั้งหนึ่ง ‘โซเฟีย ลา’ เผยว่าวันนี้ทำไมต้องอยู่ตัวคนเดียว แล้วรู้สึกไม่มี

ความสุขแบบนี้ วอนอยากได้สัญชาติไทยหลังใช้ชีวิตในไทยมานานกว่า 35 ปี เธอเผยว่าต้องการเป็นคนไทยเต็มตัวเพราะอยากใช้ความรู้ที่เรียนมาจาก

ไต้หวันบ้านเกิดมาเปิดโรงเรียนสอนภาษาจีนเนื่องจากอยากตอบแทนบุญคุณแผ่นดินไทย ชีวิตอยู่ตัวคนเดียวหลังแยกทางกับสามีมาราว 15 ปีแล้ว นอกจากนี้

ทางด้านชีวิตครอบครัวของ ‘โซเฟีย ลา’ ถูกครหาว่าเป็นไฮโซไม่จริงมาโดยตลอด โดยเธอเผยว่า “”โซเฟียรู้จักสามีตอนอายุประมาณ 20 ต้น ตอนแรก

ก็ไม่ชอบเค้า แต่ชอบที่เค้าซื้อโน้นซื้อนี่ให้ ทั้งเครื่องเพชร นาฬิกาฝังเพชร เราก็เริ่มชอบเค้าแหละ ที่สำคัญเค้ามาดูแลเอาใจเราอย่างดี ด้วยพื้นฐาน

ครอบครัวเราที่ไม่ค่อยได้รับความรัก” และที่ผ่านมา ‘โซเฟีย ลา’ มักถูกครหาว่าเป็นไฮโซไม่จริง โดยเธอเผยว่า “มี นสพ. เขียนว่าไปงานไหนก็ไม่มี

บัตรเชิญ ถูกเขาไม่ให้เข้างาน หรือบางคนบอกไปดูแล้วก็ไม่ซื้อ เชื่อไหมว่าของบางอย่างเราต้องเสียตังค์เป็นแสน พอเราไม่ซื้อก็ไม่ชอบเราและให้สื่อเขียนว่า

เราในทางไม่ดีตลอดเวลา โซเฟียบอกเลยว่าไม่ใช่ไฮโซ โซเฟียก็เป็นโซเฟีย เรื่องนี้ทำให้น้อย-ใจมาก จนเดี๋ยวนี้ไม่ค่อยอยากไปออกงานที่ไหนแล้ว ก็หันไปสอนหนังสือแทน”